วันที่นำเข้าข้อมูล 20 พ.ย. 2567
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 20 พ.ย. 2567
เมื่อเดือนตุลาคม 2567 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund - IMF) ได้จัดทำบทวิเคราะห์ Policy Pivot, Rising Threats โดยในรายงานเปิดเผยว่า เศรษฐกิจสเปนจะขยายตัวมากที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าสหรัฐ ฯ และกลุ่มประเทศยูโรโซน โดยได้ประเมินการขยายตัวของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสเปนในปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.9 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากการคาดการณ์ของ IMF เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567) ซึ่งมูลค่าการขยายตัว GDP ของสเปนดังกล่าวสูงกว่าการขยายตัว GDP สหรัฐ ฯ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.8 และสูงกว่ามูลค่า GDP ของกลุ่มประเทศยูโรโซน ซึ่งขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8 อีกด้วย กองทุน IMF ยังคาดการณ์ว่ามูลค่า GDP ของสเปนในปี 2568 จะอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ขณะเดียวกันมูลค่า GDP โลกจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 ในปี 2567 และจะทรงตัวในอัตราเดิมในปี 2568 ทั้งนี้ ในส่วนของไทย มูลค่า GDP จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 ในปี 2567 และร้อยละ 3.0 ในปี 2568
หากเจาะลึกตัวเลข GDP เฉพาะกลุ่มประเทศยูโรโซน จะพบว่าในปีนี้กลุ่มประเทศที่เคยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเมื่อสิบกว่าปีก่อน เช่น สเปนและกรีซ กลับเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี ในขณะที่เยอรมนีซึ่งมีเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มประเทศยูโรโซนและประเทศอื่นๆ ที่มีความร่ำรวยทางเศรษฐกิจอย่างกลุ่มประเทศยุโรปเหนือกลับมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ (อัตราการขยายตัว GDP ของเยอรมนี (ขยายตัวที่ร้อยละ 0.01) ฝรั่งเศส (ร้อยละ 1.1) และอิตาลี (ร้อยละ 0.67) และเนเธอร์แลนด์ (ร้อยละ 0.8))
ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจสเปนจะเริ่มต้นการฟื้นฟูจากวิกฤติโควิด-19 ได้ช้ากว่ากลุ่มประเทศยูโรโซน แต่เมื่อเทียบอัตราการขยายตัวของ GDP จากปี 2562 ถึงปัจจุบัน GDP สเปนขยายตัวร้อยละ 5.7 ในขณะที่อัตราการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงเดียวกันของกลุ่มประเทศยูโรโซนอยู่ที่ร้อยละ 4.2 เท่านั้น
ปัจจัย 4 ข้อที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจสเปนเติบโตได้อย่างต่อเนื่องมี ดังนี้
ข้อมูลของศูนย์ Funcas (ศูนย์ think tank ด้านการวิจัยทางเศรษฐกิจและสังคมสเปน) รายงานว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีแรงงานข้ามชาติที่มีอายุในช่วงวัยทำงานเข้ามาในสเปนจำนวนกว่า 7 แสนคน ซึ่งทำให้สเปนมีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้จำนวนประชากรในสเปนพุ่งสูงเกือบ 49 ล้านคน แม้ว่าประชากรกลุ่มนี้ส่วนมากจะมีทักษะแรงงานต่ำและประกอบอาชีพที่มีค่าจ้างต่ำก็ตาม นอกจากนี้ แรงงานข้ามชาติในสเปนยังมีส่วนสนับสนุนตลาดแรงงานในสเปนกว่าร้อยละ 78 (มากที่สุดในกลุ่มประเทศยุโรป) และยังพบว่าแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้ที่เข้ามาในสเปนมีระดับการศึกษาที่สูงกว่าประเทศอื่นในยุโรปด้วย เช่น เยอรมนีและอิตาลี โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพในสาขาโทรคมนาคม อุตสาหกรรมการผลิต การค้า และสาธารณสุข
ในส่วนของอัตราการว่างงานในสเปน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 พบว่าลดลงเหลือร้อยละ 11.21 นับเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2551 ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนประชากรแรงงานเพิ่มสูงขึ้นสืบเนื่องมาจากแรงงานข้ามชาติเป็นหลัก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนสเปนในการเพิ่มอัตราแรงงานโดยไม่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายสำหรับบริษัทและผู้ประกอบการภาคเอกชนมากจนเกินไป อนึ่ง ประชากรวัยทำงานชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 ในรอบ 1 ปี ในขณะที่ประชากรวัยทำงานชาวสเปนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.6 เท่านั้น
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติสเปน (Instituto Nacional de Estadística) เปิดเผยว่าเฉพาะในเดือนกันยายนที่ผ่านมา สเปนต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 9.6 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ในขณะที่มูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 12.6 พันล้านยูโร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน ปี 2566 ในขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนสเปนแล้วถึง 73.9 ล้านคน นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดในช่วงระยะเวลา 9 เดือน หรือขยายตัวร้อยละ 10.9 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 และใช้จ่ายมากกว่า 99 พันล้านยูโรหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า
ภาคการท่องเที่ยวจึงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ผลักดันเศรษฐกิจของสเปน อย่างไรก็ดี คาดการณ์กันว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสเปนอาจจะชะลอตัวในอนาคต เนื่องจากกระแสความนิยมด้านความยั่งยืนและ
การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่รัฐบาลสเปนเริ่มให้ความสำคัญอย่างจริงจัง และในปีที่ผ่านมา ชาวสเปนในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น บาร์เซโลนา หมู่เกาะบาเลอาเรส และหมู่เกาะคานารี ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายต่อหลายครั้ง เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ส่งผลกระทบต่อการขาดแคลน
ที่อยู่อาศัยของชาวสเปนท้องถิ่น และส่งผลให้ค่าเช่าที่พักอาศัยที่สูงขึ้น เป็นต้น
การลงทุนจากต่างประเทศในสเปนในปี 2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 28.2 พันล้านยูโร (เทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา) เมื่อจำแนกในเชิงภูมิศาสตร์ พบว่า แคว้นมาดริดเป็นพื้นที่ที่ได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุด ด้วยมูลค่า 15.3 พันล้านยูโร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 54.3 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดในสเปน ขณะที่แคว้นอื่น ๆ ที่ได้รับเงินลงทุนรองลงมา ได้แก่ แคว้นคาตาโลเนีย (4.6 พันล้านยูโร) แคว้นบาเลนเซีย (3.3 พันล้านยูโร) แคว้นบาสก์ (1.5 พันล้านยูโร) และแคว้นอันดาลูเซีย (586 ล้านยูโร) โดยการลงทุนจากต่างประเทศใน 5 แคว้นข้างต้นรวมกัน มีสัดส่วนถึงร้อยละ 90.4 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศที่สเปนได้รับทั้งหมด
ด้านแหล่งเงินลงทุน พบว่า สหรัฐ ฯ เป็นประเทศผู้ลงทุนหลักในปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 28.9) ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดในสเปน ขณะที่ประเทศที่มีการลงทุนในสเปนรองลงมา ได้แก่ สหราชอาณาจักร (ร้อยละ 13.1) เยอรมนี (ร้อยละ 10.6) และฝรั่งเศส (ร้อยละ 9.2)
ด้านสาขาธุรกิจ พบว่า การลงทุนจากต่างประเทศมากกว่าครึ่งในสเปน (ร้อยละ 54.3) อยู่ในภาคการบริการ รองลงมาคือภาคอุตสาหกรรม (ร้อยละ 42.2) และการก่อสร้าง (ร้อยละ 3) ตามลำดับ
นอกจากนี้ ตามข้อมูล FDI Markets ซึ่งจัดทำโดย the Financial Times Group ของสหราชอาณาจักรระบุว่า สเปนเป็นประเทศที่ได้รับการลงทุนใหม่ (greenfield investment) จากต่างชาติมากเป็นอันดับ 6 นับตั้งแต่ปี 2562 โดยในปี 2566 สเปนได้รับการลงทุนใหม่ในสาขาพลังงานทดแทน 77 โครงการ มากเป็นอันดับ 1 ของโลก (ครองอันดับร่วมกับสหรัฐ ฯ) ได้รับการลงทุนโครงการด้าน R&D มากเป็นอันดับ 3 ของโลก ได้รับการลงทุนใหม่ในสาขาปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากเป็นอันดับ 5 ของโลก รวมถึงได้รับการลงทุนโครงการด้าน ICT และโครงสร้างพื้นฐานอินเตอร์เนตมากเป็นอันดับ 10 ของโลกอีกด้วย
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจสเปนขยายตัวคือการใช้จ่ายของภาครัฐจากแผนฟื้นฟูกองทุน Next Generation EU ของสหภาพยุโรป ซึ่งสเปนจะได้รับเงินสนับสนุนทั้งหมดจำนวน 163 พันล้าน ยูโร (เพิ่มขึ้นร้อยละ 135 จากเดิมที่สเปนเคยขอไว้ 69.5 พันล้านยูโร เมื่อปี 2564) โดยเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาสเปนได้รับเงินสนับสนุนแล้ว 48.3 พันล้านยูโร ในส่วนนี้สหภาพยุโรปได้ดำเนินการส่งงบประมาณดังกล่าวให้สเปนในรูปแบบเงินอุดหนุนล่วงหน้า (pre-financing) และเงินอุดหนุนทั่วไป (grants) แล้ว 4 งวด จากทั้งหมด 10 งวด โดยตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณของสเปนได้แบ่งออกเป็นสองสาขาหลักได้แก่ การเปลี่ยนผ่านสีเขียว (green transition) ร้อยละ 40 และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล (digital transformation) ร้อยละ 25.9 ซึ่งงบประมาณที่ได้รับจะต้องนำไปใช้จ่ายภายในปี 2569 อย่างไรก็ดี รัฐบาลสเปนก็ได้รับการวิจารณ์จากพรรค Popular Party (พรรคฝ่ายค้าน) ซึ่งได้แสดงความเห็นว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนนั้นอาจไม่ยั่งยืนสำหรับประเทศที่มีหนี้สินสูงอย่างสเปน (สเปนมีหนี้สินร้อยละ 102 ต่อ GDP)
ติดตามสาระดี ๆ เกร็ดความรู้และโอกาสทางธุรกิจในสเปนได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสเปน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ได้ที่ https://bic-madrid.thaiembassy.org