ท่าเรือบิลเบา (Bilbao) ท่าเรือสีเขียวของสเปน

ท่าเรือบิลเบา (Bilbao) ท่าเรือสีเขียวของสเปน

วันที่นำเข้าข้อมูล 18 มี.ค. 2565

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 18 มี.ค. 2565

| 1,313 view

สำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความของศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสเปน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด มาอย่างต่อเนื่อง หลายท่านคงเคยได้อ่านบทความของศูนย์ฯ ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของท่าเรือต่างๆ ที่สำคัญของสเปน มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่าเรืออัลเฆซีราส[1] ท่าเรืออูเอลบา[2] และท่าเรือบก ทั้งที่เมืองซาราโกซา[3] และกอสลาดา[4]

สำหรับในบทความนี้ ศูนย์ฯ จะขอพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับท่าเรือบิลเบาของสเปน ซึ่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ เดินทางไปเยี่ยมชมท่าเรือแห่งนี้มา เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ดังนี้  

ท่าเรือบิลเบา

ท่าเรือบิลเบา

ท่าเรือบิลเบาตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเนรบิออนและทะเลกันตาเบรียน บริเวณเมืองซันตูร์ที จังหวัดบิซกายา แคว้นบาสก์ ในภาคเหนือของสเปน และอยู่ห่างจากตัวเมืองบิลเบาเพียงแค่ 15 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งนี้ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ท่าเรือบิลเบาได้ขยายพื้นที่การให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการถมทะเลเพื่อสร้าง   ท่าเทียบเรือและคลังสินค้าให้รองรับการขนถ่ายสินค้าได้ปริมาณมากขึ้น โดยในปี 2564 ท่าเรือมีพื้นที่ทั้งหมด 405 เฮกเตอร์ และมีความยาวของท่าเทียบเรือรวมทั้งหมด 21 กิโลเมตร  

ท่าเรือบิลเบาบริหารจัดการโดยการท่าเรือบิลเบา (Port Authority of Bilbao) ซึ่งเป็นหนึ่งในการท่าเรือ 28 แห่งของสเปนที่ขึ้นตรงกับกระทรวงคมนาคม การเคลื่อนย้ายและการพัฒนาเมือง ถือเป็นท่าเรือสำคัญทางตอนเหนือของสเปน โดยจากสถิติเมื่อปี 2563 ท่าเรือบิลเบาเป็นทางผ่านของสินค้าเข้าและออกจากสเปนมากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของประเทศ รองจากท่าเรืออัลเฆซีราส ท่าเรือบาเลนเซีย ท่าเรือบาร์เซโลนา ท่าเรือการ์ตาเฆนา และท่าเรืออูเอลบา ที่สำคัญท่าเรือบิลเบายังมีที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าระหว่างสเปน กับทั้งยุโรป อเมริกา และแอฟริกา โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าระหว่างสเปนกับกลุ่มประเทศในแถบแอตแลนติกเหนือด้วย

เมื่อปี 2564 ท่าเรือบิลเบา มีปริมาณการขนส่งสินค้ารวม 31.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 จากปี 2563 (29.6 ล้านตัน) ซึ่งนับตั้งแต่การเกิดวิกฤติโควิด-19 ปริมาณการขนส่งสินค้าของท่าเรือได้ลดลงไปประมาณร้อยละ 10 แต่ในปัจจุบันสามารถฟื้นฟูปริมาณการขนส่งสินค้ากลับคืนมาได้แล้วประมาณร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับเมื่อปี 2562 และคาดการณ์ว่าภายในปี 2566 ท่าเรือบิลเบาจะสามารถฟื้นปริมาณการขนส่งสินค้าให้กลับเข้ามาสู่ระดับก่อนการเกิดวิกฤติโควิด-19 ได้

Cargo terminal ภายในท่าเรือบิลเบา

               Cargo terminal ภายในท่าเรือบิลเบา                 

ถังเก็บน้ำมันดิบภายในท่าเรือบิลเบา  ถังเก็บน้ำมันดิบภายในท่าเรือบิลเบา

สินค้าหลัก 10 ประเภทที่ส่งผ่านท่าเรือแห่งนี้ ในปี 2564 ที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ สินค้าเหล็ก เคมีภัณฑ์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา แร่ธาตุชนิดอื่นที่ไม่ใช่โลหะ น้ำมันเบนซิน ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยสินค้าในกลุ่มดังกล่าว มีสัดส่วนรวมกันมากถึงร้อยละ 72 ของน้ำหนักสินค้าทั้งหมดที่ส่งผ่านท่าเรือ  โดยมีตลาดสำคัญ ได้แก่ รัสเซีย สหราชอาณาจักร เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา สำหรับในส่วนของไทย ในปี 2564 มีการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือบิลเบาประมาณ 73,296 ตัน 

 

          จุดเด่นของท่าเรือบิลเบา

ท่าเรือบิลเบาถือเป็นหนึ่งในท่าเรือหลักของสเปนบนเส้นทางเชื่อมต่อทางรางของระเบียงแอตแลนติก (Atlantic Corridor) ที่ผูกการขนส่งสินค้าระหว่างสเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศสและเยอรมนีเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ท่าเรือบิลเบายังเป็นผู้นำในการพัฒนาการขนส่งรูปแบบผสมผสาน (intermodal corridors) ทั้งการขนส่งทางเรือ ทางรถไฟและทางบก ที่เชื่อมต่อกับท่าเรือบกอีก 2 แห่ง คือ Bilbao-Arasur และ Bilbao-Pancorbo  และยังเป็นท่าเรือศูนย์กลางพลังงานลม (Wind Hub Port) เนื่องจากมีทั้งแหล่งผลิตพลังงานลม โรงงานผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์กังหันลม รวมถึงคลังสินค้าสำหรับส่งสินค้าเกี่ยวกับพลังงานลมออกไปต่างประเทศในแถบยุโรปเหนือและสกอตแลนด์ ตั้งอยู่ภายในบริเวณท่าเรืออีกด้วย

ส่วนประกอบของกังหันลมใน Wind Hub ของท่าเรือบิลเบา

ส่วนประกอบของกังหันลมใน Wind Hub ของท่าเรือบิลเบา

ในด้านสิ่งแวดล้อม ท่าเรือบิลเบาก็มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากเพราะเป็นท่าเรือแห่งแรกของโลกที่ได้รับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม Environmental Product Declaration (EPD) เมื่อปี 2562 โดยผ่านการรับรองทั้งด้านการผลิตพลังงานเชื้อเพลิง การใช้น้ำ การก่อสร้างท่าเรือและอาคาร คลังเก็บสินค้าและประภาคาร การทำเหมืองเรือขุด การบำรุงรักษาเครื่องจักร อาคารและยานพาหนะ การใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า การขนส่งพนักงาน การเก็บและการบำบัดขยะ ซึ่งล้วนเป็นผลจากความร่วมมือของบริษัท 50 แห่งภายในเครือข่ายท่าเรือบิลเบาที่มุ่งมั่นให้ท่าเรือแห่งนี้ เป็นท่าเรือสีเขียวนั่นเอง 

 

ท่อส่งก๊าซและกังหันลม 5 ต้นที่ใช้ผลิตพลังงานไว้ใช้ภายในท่าเรือ

ท่อส่งก๊าซและกังหันลม 5 ต้นที่ใช้ผลิตพลังงานไว้ใช้ภายในท่าเรือ

นอกจากนี้ ท่าเรือยังมีการดำเนินการในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะภายในท่าเรือที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงทางเลือกมากถึงร้อยละ 90  การตั้งเป้าหมายที่จะใช้ไฟฟ้าทั้งหมดจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานลม ซึ่งมีการติดตั้งระบบมาตั้งแต่ปี 2548 และปัจจุบันสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 17,500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง/ปี รวมถึงการมีส่วนร่วมในโครงการ  ต่างๆ ในของสหภาพยุโรปที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด เช่น การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและ LNG การปรับปรุงการประเมินคุณภาพอากาศและระบบควบคุมคุณภาพอากาศ การติดตั้งหลอดไฟ LED ภายในท่าเรือ เป็นต้น

นอกจากนี้ การท่าเรือยังได้จัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition Plan) ที่มุ่งเป้าบรรลุการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์ภายในปี 2593 ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ จำนวน 27 โครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (2573) รวมทั้งการต่ออายุมาตรฐาน (EU Eco-Management and Audit Scheme - EMAS) ด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน และเมื่อไม่นานมานี้ การท่าเรือบิลเบายังเข้าร่วมในเครือข่าย EcoPorts ซึ่งเป็นโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของสาขาท่าเรือยุโรปภายใต้องค์กรท่าเรือทะเลยุโรป (European Sea Ports Organisation - ESPO) อีกด้วย

สำหรับปี 2565 ท่าเรือบิลเบายังคงให้ความสำคัญกับการตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะจัดทำระบบจ่ายพลังงานบนชายฝั่ง (Onshore Power Supply) ณ ท่าเทียบเรือแห่งใหม่ เพื่อให้เรือเดินสมุทรสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายไฟฟ้าของท่าเรือได้ ซึ่งจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและเสียงรบกวนในขณะที่เรือเข้าจอดเทียบท่า ส่วนในปี 2566 การท่าเรือบิลเบาได้ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาการเป็นศูนย์ไฮโดรเจนสีเขียวและโรงงานผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์ โดยได้เข้าเป็นสมาชิกโครงการ Basque Hydrogen Corridor ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากไฮโดรเจน โดยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยต่อการใช้พลังงานไฮโดรเจนในแคว้นบาสก์ ควบคู่ไปกับเป้าหมายในการมุ่งกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์ โดยโครงการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจแคว้นบาสก์จากวิกฤตโควิด-19 อีกด้วย

 

ติดตามสาระดี ๆ เกร็ดความรู้และโอกาสทางธุรกิจในสเปนได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสเปน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด ได้ที่ https://bic-madrid.thaiembassy.org

 

[1] ท่าเรืออัลเฆซีราส เป็นท่าเรือที่มีการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์สินค้ามากที่สุดเป็นอันดับ 6 ในยุโรป (สถิติปี 2563) เป็นจุดยุทธศาสตร์ของเส้นทางการค้าระหว่างยุโรปใต้กับแอฟริกา เชื่อมต่อเส้นทางการเดินเรือและการค้าในช่องแคบยิบรอลตาร์ ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรแอตแลนติก และเป็นท่าเรือสเปนแห่งที่ 2 ที่ได้รับมาตรฐานฮาลาล

[2] ท่าเรืออูเอลบา เป็นท่าเรือสเปนแห่งแรกที่ได้รับมาตรฐานฮาลาล และเป็นจุดยุทธศาสตร์ของเส้นทางการค้าระหว่างยุโรปใต้กับยุโรปเหนือ แอฟริกา อเมริกา รวมทั้งกับหมู่เกาะคานารีของสเปน

[3] ท่าเรือบกซาราโกซา ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ระหว่าง 4 เมืองเศรษฐกิจและท่าเรือหลักของสเปน ได้แก่ กรุงมาดริด นครบาร์เซโลนา เมืองบิลเบา และเมืองบาเลนเซีย อีกทั้งตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนฝรั่งเศส จึงถือเป็นทางผ่านสำคัญของสินค้าจากยุโรปใต้ (สเปนและโปรตุเกส) ไปสู่ประเทศอื่นๆ ในยุโรป

[4] ท่าเรือบกกอสลาดา ตั้งอยู่ใกล้สนามบินนานาชาติบาราฆาส กรุงมาดริด ให้บริการขนถ่ายสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกระหว่างท่าเรือที่สำคัญของประเทศ (โดยเฉพาะท่าเรือเมืองบาเลนเซีย และท่าเรือนครบาร์เซโลนา) กับกรุงมาดริด